การฝากครรภ์เร็วทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น
1. เลือกฝากครรภ์ที่ไรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะไม่ต้องเดินทางไกลเละเมื่อถึงเวลาจะคลอค หรือหากเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินก็สามารถเดินทางไปถึงโรงพยาบาลได้ในเวลาอันรวดเร็ว
2. ฝากครรภ์ที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน ซึ่งมีอยู่ทุกตำบล เมื่อใกล้คลอดจึงย้ายไปฝากที่โรงพยาบาล
3. การฝากครรภ์กับสูติแพทย์ชื่อดัง แม้จะสร้างความมั่นใจให้คุณแม่ แต่อาจมีคนได้เยอะจนไม่ค่อยมีเวลาดูแลคุณเท่าที่ควรก็ได้
4. เลือกฝากครรภ์กับสูติแพทย์ที่คุ้นเคย ทำให้สะดวกใจในการสอบถามปัญหา
5. ถ้าคุณมีปัญหาโรคประจำตัวอยู่ก่อน เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็น่าจะเลือกบริการฝากท้องกับโรงพยาบาลที่รักษาอยู่เดิม เพราะที่นี้จะมีประวัติการรักษาและประวัติการใช้ยาของคุณอยู่
6. โรงพยาบาลของรัฐ คุณต้องรอคิวยาวกว่าเอกชนหลายเห่า แต่ เมื่อถึงตอนคลอดก็ไม่ต้องห่วง เจ้าหน้าที่ไม่ปล่อยให้คุณรอช้าจนเกินเหตุแน่นอน แต่ต้องทำใจกับการไม่ค่อยมีคนเอาใจอย่างเอกชน
7. โรงพยาบาลเอกชน ราคาค่อนข้างสูง บริการดี ไม่ต้องรอคิวนาน สำหรับมาตรฐานเรื่องบุคลากรแตกต่างกันไป ควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลนั้นๆจากหลายๆคนก่อน โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งก็ให้สามีอยู่ร่วมในขณะคลอดได้ และให้ถ่ายภาพหรือบันทึกวิดีโอทารกได้อีกด้วย
8. โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย มีเครื่องมือต่างๆครบครันและทันสมัย มีอาจารย์แพทย์ระดับสูง ช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วและบริการที่ดี เพราะว่าเป็นแหล่งอบรมจรรยาบรรณแพทย์ด้วย แต่อาจมีนิสิตแพทย์คอยแวะเวียนมาสอบถาม ถ้าไม่ชอบให้ใครมารบกวนก็ควรเลือกฝากกับที่อื่น
9. ฝากครรภ์ที่คลีนิคเป็นที่นิยมสำหรับคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา ควรดูชื่อเสียงของแพทย์ ดูว่ามีเครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น การตรวจด้วย เครื่องอัลตราซาวนด์ ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพของทารกได้ชัดเจน เพื่อที่จะได้ประเมินสุขภาพของทารกได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้น่าจะช่วยให้คุณแม่ตัดสินใจได้ว่าจะไปฝากครรภ์ที่ไหน หากฝากครรภ์แล้วไม่เป็นอย่างที่คิด จะเปลี่ยนแพทย์หรือโรงพยาบาลก็เป็นสิทธิของคุณ
การฝากครรภ์ครั้งแรก
การมาตรวจคครรภ์ครั้งแรก อาจใช้เวลานานเพราะการมาตรวจครั้งแรก ต้องมีการตรวจร่างกาย ตรวจครรภ์ ซักประวัติ ตรวจเลือด ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง อีกทั้งคุณแม่มือใหม่ อาจมีคำถามมากมายอีกด้วย ควรจตจำประจำเดือนครั้งสุดท้าย ก่อนการตั้งครรภ์ เพื่อที่แพทย์จะสามารถประเมินอายุครรภ์ได้แน่ชัดขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ควรเล่าอาการ ประวัติเกี่ยวกับสุขภาพ อาทิ มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้รบกวนภาวะตั้งครรภ์ บางรายแพทย์ก็อาจต้องแนะนำให้ทำแท้ง เช่น คุณแม่เป็นโรคหัวใจที่รุนแรง หากเคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาทิ ซิฟิลิส กามโรค ควรบอกแพทย์ด้วย ซึ่งถ้ารีบรักษาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ก็สามารถ ประคับประคองจนคลอดได้
แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพของคนในครอบครัวทั้งสองฝ่ายว่ามีใครที่มีโรคถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมบ้าง เช่น เบาหวาน ธาลัสซีเมีย ฮีโมฟิเลีย กล้ามเนื้อลีบเล็ก การเกิคทารกแฝดในครอบครัว เป็นต้น
การวัดส่วนสูงและน้ำหนักตัว ช่วยในการคำนวณขนาดของเชิงกราน และถ้ามีอาการอ้วนผิดปกติตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ แพทย์จะให้ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนมาก
ในครั้งแรกนี้ จะทำการตรวจเลือด หาเชื้อซิฟิลิส เอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี ดูความสมบูรณ์ของเลือด หมู่เลือด และตรวจปัสสาวะเพื่อดูว่ามี น้ำตาล โปรตีน หรือมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะหรือไม่
ถ้าคุณแม่เป็นพาหะนำโรคไวรัสตับอักเสบบี ทารกแรกเกิดจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาป้องกันการกำเริบของโรคที่ทารกอาจจะได้รับมาจากแม่ตั้งแต่ตอนคลอด
นอกจากนี้ หากคุณแม่มีอายุมาก อาจต้องตรวจหาอัลฟา คีโตโปรตีน (Atpha Ketoprotein) ขณะตั้งครรภ์อ่อน ๆ เพื่อตรวจหาความพิการ ของทารกในครรภ์ หรือช่วงที่มีการระบาดของ หัดเยอรมัน ก็ควรตรวจหาภูมิคุ้มกันโรคนี้ เพราะถ้าได้รับเชื้อหัดเยอรมันเข้าไปในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก อาจทำให้เด็กพิการได้ คุณแม่จะไค้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก ในคุณแม่ที่ไม่เคยฉีดมาก่อนหรือฉีดมานานกว่า 5 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลมาตรวจเต้านม พร้อมกับอธิบายและให้การแนะนำเตรียมตัวในเรื่องการดูแลเต้านม ความจำเป็นในการให้นม
คุณแม่จะได้รับสมุดคู่มือการตั้งครรภ์ เป็นสมุดประจำตัวของคุณแม่ที่สามารถจดสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่น ชื่อ ของแพทย์ หมายเลขโทรศัพท์ วันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย กำหนดคลอด การนัดหมายในการตรวจครั้งต่อไป บันทึกอาการของคุณ การเพิ่มของน้ำหนักตัว การเจริญเติบโตของทารก ฯลฯ
เรียบเรียงโดย mamyJiffy
หน้าที่เข้าชม | 1,088,615 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 467,895 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 พ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |