อาการของคนท้อง เดือนที่ 7-9
ตอนนี้ลูกของเราก็เริ่มตัวใหญ่ขึ้นมากแล้วคะ แถมลูกจะดิ้นเก่งมาก ดิ้นบ่อยครั้งและแถมยังดิ้นแรงๆ ด้วย จนคุณแม่จะรู้สึกเหมือนปลาตอดตุบๆ ในท้องเหมือนมีลูกคลื่นเล็กๆในท้อง นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ที่คุณแม่จะพบเจอ ได้แก่ อารมณ์ แปรปรวน คุณแม่อาจมีความกังวล อารมณ์จะแปรปรวนง่าย ขื้น้อยใจ ร้องไห้ง่าย โดยอาการเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ หรือความไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นขณะ ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะหากอายุครรภ์มากขึ้นร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมาย คุณพ่อและคนใกล้ชิดทำความเข้าใจ รับฟังปัญหา และให้กำลัง คุณแม่ให้ผ่านช่วง เวลานี้ไปให้ได้ค่ะ
ปัสสาวะ บ่อย
คุณแม่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้นเนื่องจากลูกตัวโตขึ้น มดลูกโตขึ้นจึงกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะน้อยลงคุณแม่อาจตื่นบ่อยเพราะปวดปัสสาวะ ทำให้นอนในช่วงกลางคืนไม่พอ อาจมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ต้องหาเวลาพักผ่อนช่วงกลางวันด้วย พยายามอย่ากลั้นปัสสาวะ เพราะอาจเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย ให้สังเกตตัวเองหากมีปัสสาวะสีขุ่นหรือแสบขัดขณะถ่ายปัสสาวะให้รีบปรึกษาแพทย์ หรือถ้าปัสสาวะน้อยมากจนผิดปกติให้ระวังการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ค่ะ
ท้องผูก ริดสีดวงทวาร
คุณแม่บางท่านอาจท้องผูกมากจนเกิดริดสีดวงทวารได้ เนื่องจากการที่มดลูกโตขึ้นไปทับเสันเลือดดำทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี ความดันในเสันเลือดจึงสูงขึ้น และทำให้เส้นเลือดโป่งพองออก โดยเฉพาะที่ทวารหนักเมื่อท้องผูกอุจจาระแข็ง อุจจาระนั้นจะไปครูตกับเส้นเลือตที่โป่งพองนั้นฉีกขาด ทำให้มีเลือดสดๆ ไหลออกมากับ อุจจาระ ได้
วิธีป้องกันอาการท้องผูกคือควรถ่ายอุจจาระทุกวัน แต่ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรงๆ รับประทานผักและผลไม้ เช่น มะละกอ กล้วยสุก รวมทั้งพยายามดื่มน้ำมากๆ นะคะ
ปวด เกร็ง ท้อง
คุณแม่อาจปวดท้องมาก เพราะมดลูกอาจบีบตัวแรง และอาจเกิดจากมดลูกซ้อมหดตัวให้ลูกชินกับภาวะเครียดก่อนคลอดจริง ให้คุณแม่นอนพักมากๆ นะคะในช่วงนี้ หากมีมดลูกบีบตัว มีน้ำเดินให้ รีบมาพบแพทย์ แต่ถ้าทารกอยู่ในครรภ์ได้จนครบ 36 สัปดาห์ จะค่อนข้างปลอดภัย โดยถ้าทารกคลอดก่อนหน้านี้จะถือว่าเป็นทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจมีปัญหาเรื่องการหายใจหรือการติดเขื้อได้ง่าย
หายใจ ลำบาก
บางครั้งคุณแม่อาจจะเกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบากนั่งก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สบาย วิธีแก้ไขคือการนอนตะแคงเพราะจะช่วยให้หายใจสะดวกมากขึ้น หรือนอนพิงหมอนหลายๆ ใบ หรือนอน ศีรษะ สูง การที่หายใจไม่สะดวกเพราะมดลูกมีขนาดใหญ่ทำให้กระบังลมขยายตัวได้ไม่เต็มที่ทำให้หายใจได้ลำบาก เวลาลุกนั่งให้นอนตะแคงใช้แขนดันให้นั่งก่อน แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนะคะ
ตก ขาว
ในช่วงนี้อาจมีตกขาวเป็นลักษณะมูกข้นๆ ปริมาณมาก เพราะภายในเยื่อบุผนังช่องคลอดมีการเจริญมากกว่าปกติจากการถูกฮอร์โมนเพศกระตุ้น ซึ่งทำให้เซลล์เยื่อบุผนังมีมากขึ้นและหลุดลอกตัวมากขึ้น ทำให้ปริมาณตกขาวเพิ่มขึ้น แต่จะไม่มีอาการคันหรือแสบเมื่อปัสสาวะแต่อย่างใดค่ะแต่ถ้ามีอาการอื่นๆ เช่น คัน แสบร้อน มีกลิ่นเหม็นหรือสีเปลี่ยนไป ต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาตอไปนะคะ นอกจากนี้คุณแม่ควรทำความสะอาดเป็นประจำ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด แต่ไม่ต้องใช้สบู่เหลวหรือสบู่อนามัยสวนข้างในช่องคลอดเพราะอาจทำลายเชื้อประจำถิ่น ที่คอยป้องกันไม่ให้ติดเชื่อที่รุ่นแรงได้ค่ะ
ตะค ริ ว
ขา น่อง และเท้าเป็นตะคริว มักพบมากขณะตอนกลางคืน โดยเฉพาะเมื่ออากาศเย็น คุณแม่ควรนอนห่มผ้าหรือใส่ถุงเท้า อาการตะคริวมักเกิดจากการขาดแคลเซียม ซึ่งทารกต้องการแคลเซียมจากแม่มากที่สุดในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ คุณแม่ต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณที่เพียงพอทั้งจากแคลเซียมเสริมและจากอาหารนะคะ
ปวดศีรษะ
อาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นได้หากพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่หากปวดศีรษะมากๆ คลื่นไสัอาเจียน จุกเสียดแน่น ละมีการบวมตามแขนขา ให้รีบพบแพทย์เนื่องจากอาจเป็นอาการเริ่มของภาวะครรภ์เป็นพิษ เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง ซึ่งทำให้คุณแม่ปวดศีรษะในลักษณะนี้ได้ค่ะ
อ่อนเพลีย
คุณแม่จะอ่อนเพลียมาก เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือรับประทานอาหารไม่เพียงพอ รวมทั้งอาจจะเกิดภาวะโลหิตจางได้ นอกจากนี้ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ทำให้ คุณแม่อ่อนเพลีย ง่วงนอน ในช่วงนี้ต้องให้คุณแม่พักผ่อนมากๆ นะคะ
เส้นเลือด ขอด
คุณแม่บางคนจะมีเส้นเลือดขอดตามขาชัดเจน เนื่องจากผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะมีการไหลเวียนของเลือดช้ากว่าปกติ หรือขนาดมดลูกที่โตขึ้นไปกดทับเส้นเลือดดำที่ผ่านจากอุ้งเชิงกรานมายังช่องท้อง ทำให้ความดันในเส้นเลือตสูงขึ้น จะทำให้เส้นโลหิตเส้นเล็กๆ โป่งพอง โดยเฉพาะที่ขาและช่องเชิงกราน จนทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ โดยส่วนใหญ่อาการเส้นเลอดขอดที่พบในคุณแม่ตั้งดรรภ์ อาจพบในช่วง 3 เดือนแรก เพราะร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการตั้งครรภ์ คือ โปรเจสตอโรน (progesterone) ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้ผนังของเส้นเลือดดำเสียความยืดหยุ่น
คุณแม่ควรนอนในท่าทีปลายเท้าอยู่สูง หรือใช้ผ้าพันแผลชนิดยืดพันจากเท้าขึ้นมาใต้เข่าหรือโคนขาของคณแม่ แนะให้คุณแม่เดินช้าๆ เคลื่อนไหวขาและข้อเท้าเพื่อให้กล้ามเนื้อทำงาน จะช่วยลดการคั่งของเลือดได้ค่ะ
คันหน้าท้องและหน้าท้องลาย
คุณแม่อาจจะเกิดอาการคันผิวหนังบริเวณหน้าท้อง เนื่องจากผิวหนังยืดขยาย วิธีบรรเทาอาการคือการใช้ครีมบำรุงผิว หรือน้ำมันมะกอก ทาบริเวณผิวหนังหน้าท้องและเลือกใช้สบู่อ่อนๆ และไม่อาบน้ำอุ่นบ่อย
จนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งได้ค่ะ นอกจากนี้จะมีการยืดขยายของผิวหนังหน้าท้อง เอว สะโพก หน้าขา ทำให้มีการแตกของผิวหนัง คุณแม่จึงควรทาครีมบำรุงผิวหรือน้ำมันมะกอกไว้ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ เพื่อให้ผิวหนังนุ่มและยืดหยุ่น และทำให้ผิวไม่แตกลายมาก แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องความสวยงามจนเกินไปนะคะ เพราะหลังคลอดผิวท้องลายจะจางลงเอง แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันค่ะ กว่าจะจางจนเกือบมองไม่เห็น
สีผิวเข้มขึ้น
ระยะตั้งครรภ์ ผู้หญิงจะมีปริมาณฮอร์โมน Estrogen เพิ่มขึ้น ซึ่งไปกระตุ้นให้สร้างเมลานินเพิ่มขึ้น ทำให้ผิวบริเวณต่างๆมีสีคล้ำขึ้น เช่น รักแร้ หัวนมและลานนม ขาหนีบ เส้นดำจากสะดือยาวไปถึงหัวเหน่า ซึ่งจะหายหรือจางไปหลังคลอดหรือบางคนอาจจะมีฝ้าขึ้นด้วยค่ะ
เท้า บวม
อาการเท้าบวมเกิดจากการมีน้ำคั่งในเนื้อเยื่อซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ และความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นในหลอดเลือดดำที่ขา คุณแม่ควรนั่งพักโดยมีที่พักเท้า หรือที่พักขา โดยอาจให้เก้าอี้อันเล็กอีกอันหนึ่งวางขาเสมอเมื่อนั่งพักก็ได้คะ และให้รับประทานอาหารรสอ่อน ไม่เค็ม ไม่รับประทานอาหารรสจัดนะคะ
ปวดเหงือก เจ็บเยื่อบุช่องปาก เหงือกอักเสบ
คุณแม่อาจมีปวดเหงือก และปวดฟันเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้มีเลือดมา
เลี้ยงเหงือกและเยื่อบุช่องปากมากขึ้น และทำให้มีเลือดออกที่เหงือกได้ง่าย คุณแม่ควรเลือก
ใช้แปรงสีฟันที่ขนนุ่มๆ อันเล็กๆ และแปรงอย่างเบามือก็จะช่วยป้องกันอาการเหล่านี้ได้ค่ะ
ร้อน วูบวาบ
อาการร้อนวูบวาบอาจเกิดขึ้นได้ในหนึ่งตั้งครรภ์ตั้งเเต่ช่วง 3 เดือนแรก แต่จะพบมากในช่วงเดือนหลังๆ มากกว่าบางคนพบว่ามีอาการร้อนวูบวาบที่หน้า หน้าอก แขนขา และฝ่ามือ บางคนเป็นไม่นานก็หายไป แต่บางคนมีอาการนานถึงครั้งละ 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แต่น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตรายและไม่ต้องรักษาอาการจะหายไปได้เองค่ะ แต่บางคนยังคงมีอาการจนกระทั่งคลอดบุตรและขณะให้นมบุตร หรืออาจเกิดจากการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย คุณแม่เพิ่มสูงขึ้นทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถบรรเทาอาการร้อนวูบวาบได้ด้วยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกาย สวมเสื้อผ้าที่โปร่งสบายไม่คับ อาจใช้การเปิดพัดลมเพื่อช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ไม่รับประทานอานารเผ็ดร้อน กาแฟเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นอกจากนี้มีบางข้อสันนิษฐานว่าอาการชา และร้อนวูบวาบอาจเกิดจากการแพ้ผงซูรส บางคนมีอาการรุนแรงเช่น ร้อนวูบวาบที่ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า ลำคอ หน้าอก บาง
ครั้งอาจมีอาการหายใจไม่สะดวก ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรระมัดระวังการรับประทานอาหาร เช่นนี้ควรเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ใส่ผงชูรสค่ะ
หน้ามืดใจสั่นเป็นลม
บางคนอาจมีอาการใจสั่น หน้ามืด และอาจจัดเป็นลม เนื่องจากมีระดับน้ำตาลในเลือดดำ และจากการที่หลอดเลือดขยายตัวทำให้เลือดไหลเวียนไปยังสมองไม่ดีเท่าที่ควรนอกจากนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนท่าเร็วเกินไปของคุณแม่ เช่น จากท่านอนเป็นท่านั่งหรือยืน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง ทำให้มีหน้ามืดเป็นลม คุณแม่ควรลุกช้าๆ เช่น จากท่านอนเป็นตะแคง ลุกขึ้นช้าๆ เป็นท่านั่ง แล้ว ค่อยยืนช้าๆ หรือหากน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งขึ้นค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างค่ะคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอยู่มีอาการอย่างที่กล่าวมากันบ้างไหมค่ะ บทความนี้น่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างสำหรับคุณแม่หลายๆคนที่เจอปัญหานี้อยู่นะค่ะ และคุณแม่ที่กำลังหา ชุดคลุมท้อง สวยๆ เสื้อให้นมลูก อย่าลืมฝากร้าน มามี่จิ๊ฟฟี่ด้วยนะค่ะ
เรียบเรียงโดย mamyjiffy.com
หน้าที่เข้าชม | 1,088,615 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 467,895 ครั้ง |
เปิดร้าน | 15 พ.ย. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |